นักวิชาการ ม.อ.ปัตตานี เผยผลสำรวจ ปชช. จชต. ส่วนใหญ่ ทราบมาตรการ และให้ความร่วมมือเฝ้าระวังการแพร่ระบาดโควิด – 19
คณะนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานีสำรวจประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ต่อผลกระทบในการใช้มาตรการต่างๆ ในการเฝ้าระวังโรคโควิด 19 พบว่าประชาชน รับทราบมาตรการต่างๆ ของภาครัฐเป็นอย่างดี มีส่วนน้อยที่ได้รับผลกระทบในขณะที่ผู้มีรายได้น้อยกลับมีสุขภาพจิตดีกว่า และส่วนใหญ่เห็นว่าควรขยายเวลาใช้มาตรการออกไปอีก 1 เดือน
เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2563 ที่ ห้องประชุม วิจารณ์ศุภกิจ อาคารสำนักงาน วิทยาเขตปัตตานี มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ดร.นพ.มูฮัมมัดฟาห์มี ตาเละ จากคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี หัวหน้าคณะทำงานวิจัย พร้อมด้วยคณะ ได้จัดแถลงข่าวด้วยการไลฟ์สดทางเฟสบุ๊ก ถึงผลการสำรวจผลกระทบจากมาตรการลดการระบาดของเชื้อโควิด– 19 ในกลุ่มประชากรจังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส สงขลา และสตูล ซึ่งมีผู้ตอบแบบสอบถาม 4,280 คน พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม 3,620 คน ศาสนาพุทธ 657 คน และศาสนาคริสต์ 3 คน
โดยผลการสำรวจพบว่าผู้ตอบแบบสอบถามมากกว่าร้อยละ 90 รับทราบมาตรการของภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่เดินทางออกจากเคหะสถานต้องสวมใส่หน้ากากอนามัย, ห้ามเดินทางเข้า – ออก จังหวัด, ห้ามรวมตัวกันในพื้นที่สาธารณะ, ยกเลิกวันหยุดช่วงเทศกาลสงกรานต์, งดการละหมาดในมัสยิด, ห้ามเดินทาง เข้า – ออก ประเทศ, ปิดสถานศึกษาจนถึงวันที่ 1 กรกฎาคม 2563, ปิดสถานบริการเช่น ร้านตัดผม ร้านนวด สถานบันเทิง, การปิดหมู่บ้านที่มีผู้ติดเชื้อ, ปิดห้างสรรพสินค้า ยกเว้น แผนกซุปเปอร์มาเก็ต, ห้ามซื้อ – ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์, ห้ามขายอาหารในร้าน, ห้ามออกจากบริเวณบ้านในช่วงเวลา 20.00 – 05.00 น., ห้ามผู้สูงอายุและเด็กออกจากบ้าน และปิดการบริการขนส่งมวลชนทุกประเภท โดยร้อยละ 80 – 99 เห็นด้วยกับมาตรการต่างๆ ข้างต้น
สำหรับผลกระทบจากมาตรการต่างๆ ผู้ตอบแบบสอบถามได้รับผลกระทบมากที่สุด คือห้ามเดินทางเข้า – ออก จังหวัด คิดเป็นร้อยละ49, ห้ามขายอาหารในร้าน ได้รับผลกระทบ ร้อยละ 48, งดการละหมาดในมัสยิด ได้รับผลกระทบร้อยละ 40 ส่วนมาตรการอื่นๆ ได้แก่ปิดสถานศึกษาจนถึงวันที่ 1 กรกฎาคม 2563, การปิดหมู่บ้านที่มีผู้ติดเชื้อ, ปิดการบริการขนส่งมวลชนทุกประเภท, ปิดห้างสรรพสินค้ายกเว้น แผนกซุปเปอร์มาเก็ต, ห้ามรวมตัวกันในพื้นที่สาธารณะ, ห้ามออกจากบริเวณบ้านในช่วงเวลา 20.00 – 05.00 น., ปิดสถานบริการ เช่น ร้านตัดผม ร้านนวด สถานบันเทิง, ห้ามผู้สูงอายุและเด็กออกจากบ้าน, ผู้ที่เดินทางออกจากเคหะสถานต้องสวมใส่หน้ากากอนามัย, ห้ามเดินทาง เข้า – ออก ประเทศ, ยกเลิกวันหยุดช่วงเทศกาลสงกรานต์ และห้ามซื้อ – ขาย เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ได้รับผลกระทบตั้งแต่ ร้อยละ 39 ลดหลั่นลงมาถึงร้อยละ 22 ตามลำดับ
ความคิดเห็นของผู้ตอบแบบสอบถามในจังหวัดชายแดนภาคใต้ต่อมาตรการต่างๆ เมื่อเข้าสู่ช่วงเดือนรอมฎอน ได้แก่ จำเป็นต้องมีมาตรการการควบคุมโรคติดต่อ มีผู้เห็นด้วยร้อยละ 94 การงดเว้นกิจกรรมการ ละศีลอดที่มัสยิด เห็นด้วย ร้อยละ 76, การงดเว้นการละหมาดวันศุกร์ที่มัสยิดเห็นด้วยร้อยละ 72, มาตรการการงดเว้นการอิอติกาฟในช่วงสิบคืนสุดท้ายของเดือนรอมฎอน เห็นด้วยร้อยละ71, การงดเว้นการละหมาดตะรอเวียะฮในเดือนรอมฎอน เห็นด้วยร้อยละ 68, การงดเว้นการร่วมละหมาดห้าเวลาที่มัสยิด เห็นด้วยร้อยละ 66, และการปิดตลาดรอมฎอน เห็นด้วยร้อยละ 65 ตามลำดับ
และเมื่อสอบถามถึงผลของโรคระบาดต่อสุขภาพจิต ผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 83 – 91 ตอบว่ามีความกังวลใจ ทั้งนี้ เนื่องจากการรับรู้ข่าวสารมากเกินไป ซึ่งมีข้อน่าสังเกตว่าผู้มีรายได้น้อยมีความรู้สึกกังวลใจหรือมีผลกระทบต่อสุขภาพจิตน้อยกว่าผู้มีรายได้มากสำหรับมาตรการที่จะทำให้รู้สึกผ่อนคลาย ผู้ตอบแบบสอบถามตอบว่ารัฐควรมีมาตรการช่วยเหลือ และประชาชนส่วนใหญ่มากกว่าร้อยละ 80 ตอบว่าเห็นสมควรใช้มาตรการในการควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด – 19 ออกไปอีก 1 เดือน และควรมีมาตรการการในการเปิดตลาดในช่วงเดือนรอมฎอน ที่ต้องรักษาระยะห่างทางสังคม
Short URL: http://www.samilatimes.co.th/?p=54832