|

สสก.5 สงขลา รับมือสถานการณ์ภัยแล้ง ส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกพืชใช้น้ำน้อย เพิ่มรายได้

A9D29376-8B50-4C5C-A49E-89C4A16BF4F2           ตามที่กรมอุตุนิยมวิทยา คาดการณ์ว่าในระยะ 3 เดือนนี้ (มีนาคมพฤษภาคม2564)ปริมาณฝนรวมประเทศไทยส่วนใหญ่จะสูงกว่าค่าปกติประมาณร้อยละ 20 ยกเว้นบริเวณภาคใต้ ฝั่งตะวันออกและภาคใต้ฝั่งตะวันตกจะมีปริมาณฝนรวมสูงกว่าค่าปกติประมาณร้อยละ 10 โดยภาคใต้ฝั่งตะวันออกประมาณ 300-370 มิลลิเมตร (ค่าปกติ 300 มม.) และ ภาคใต้ฝั่งตะวันตก ประมาณ 570-670 มิลลิเมตร (ค่าปกติ 559 มม.) สำหรับอุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ยของประเทศไทยจะต่ำกว่าค่าปกติ ประมาณ 0.5 องศาเซลเซียสโดยจะมีอุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ยทั้งประเทศ 33-35 องศาเซลเซียส (ค่าปกติ 34.8 °.) ส่วนอุณหภูมิต่ำสุดเฉลี่ย ของประเทศไทยจะสูงกว่าค่าปกติเล็กน้อย โดยจะมีอุณหภูมิต่ำสุดเฉลี่ยทั้งประเทศ 23-25 องศาเซลเซียส (ค่าปกติ 24.5 °.) อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันปริมาณน้ำต้นทุนถือว่ายังมีน้อยมาก ต้องใช้ให้เพียงพอไปจนถึงต้นฤดูฝน            1951EAF7-D057-4A83-A73E-99EE2700D1E9           สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ  ได้มีการติดตามผลการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่รับผิดชอบแหล่งน้ำ สำรวจและประเมินแหล่งน้ำที่มีปริมาณน้ำต้นทุนน้อยกว่า 30% วางแผนบริหารจัดการน้ำให้มีปริมาณน้ำเพียงพอไปถึงเดือนมิถุนายน2564 และปรับเกณฑ์การบริหารจัดการน้ำในเขื่อน โดยนำข้อมูลการคาดการณ์ฝนจากระบบ one map เพื่อนำไปใช้คาดการณ์ปริมาณน้ำในแหล่งน้ำเพื่อวางแผนการบริหารจัดการให้เหมาะสม รวมถึงให้ความช่วยเหลือในการสนับสนุนแหล่งน้ำบนดินและผิวดิน ให้ประชาชนไม่ได้รับผลกระทบหรือได้รับผลกระทบน้อยที่สุด ด้านการเกษตรต้องระวังภาวะฝนทิ้งช่วง ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายได้

           นายสุพิท จิตรภักดี ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรที่ 5 จังหวัดสงขลาให้ข้อมูลว่า แนวโน้มสถานการณ์ภัยแล้งสำหรับภาคใต้คาดว่าจะเกิดภาวะแล้ง หรือค่อนข้างแห้งแล้ง ในพื้นที่ 6 จังหวัดได้แก่ จังหวัดสุราษฎร์ธานีนครศรีธรรมราช สงขลา พัทลุง ชุมพร และจังหวัดกระบี่ เกษตรกรที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดภัยแล้ง ควรติดตามสถานการณ์น้ำและภัยแล้งอย่างใกล้ชิดและปรับตัวในการทำกิจกรรมการเกษตร โดยการเลือกปลูกพืชให้สอดคล้องกับปริมาณน้ำ ใช้น้ำอย่างประหยัดและรู้คุณค่า ดูแลรักษาความชื้นในแปลงปลูกพืช เช่น การคลุมโคนต้น และคลุมแปลง ตัดแต่งกิ่ง เพื่อลดการคายน้ำของพืช และปลูกพืชคลุมดินรักษาความชื้นสำรองน้ำไว้ใช้ในไร่นา เช่น การขุดสระหรือบ่อบาดาล ปรับกิจกรรมการเกษตรเพื่อลดความเสี่ยงในการขาดแคลนน้ำ โดยใช้แนวทางตามศาสตร์พระราชา เช่น เกษตรทฤษฎีใหม่ เกษตรผสมผสาน  และควรหันมาปลูกพืชใช้น้ำน้อยเพื่อรับมือสถานการณ์ภัยแล้งและเพิ่มรายได้ในช่วงหน้าแล้ง

           นายสุพิท ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ข้อดีของการปลูกพืชใช้น้ำน้อย คือมีการทำกิจกรรมการเกษตรอย่างต่อเนื่อง ส่วนใหญ่เป็นพืชอายุสั้น สร้างรายได้และให้ผลตอบแทนเร็ว ใช้น้ำน้อยกว่าพืชหลัก สามารถตัดวงจรของศัตรูพืชหลักได้ และมีข้อควรคำนึงในการปลูกพืชใช้น้ำน้อย ดังนี้ ต้องเป็นพืชที่ตลาดต้องการ  มีแหล่งน้ำที่สามารถใช้เพาะปลูกได้ตลอดทั้งปี พืชที่เหมาะสมต่อการปลูกในหน้าแล้งควรเป็นพืชที่มีอายุสั้นใช้เงินลงทุนต่อรุ่นต่ำและสามารถสร้างรายได้ให้เกษตรกรได้อย่างต่อเนื่อง          6FE9E955-89D5-415C-912C-34E0027DAE00            สำหรับการปลูกพืชใช้น้ำน้อยประเภทพืชผัก นอกจากจะใช้บริโภคในครัวเรือนเพื่อสร้างความมั่นคงด้านอาหารแล้ว ในตลาดยังมีความต้องการอย่างต่อเนื่อง ส่วนใหญ่จะมีพ่อค้าเข้ามารับซื้อถึงแหล่งผลิต ตลอดจนตลาดพืชผักปลอดภัยที่มีความต้องการในกลุ่มผู้รักสุขภาพ เช่น โรงพยาบาล ร้านอาหาร แหล่งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเป็นต้น เกษตรกรต้องให้ความสำคัญกับการผลิตให้ได้มาตรฐานตามความต้องการของตลาด เช่น การผลิตตามมาตรฐาน GAP และอินทรีย์

             การพัฒนาบรรจุภัณฑ์จะช่วยเพิ่มมูลค่าในการจำหน่าย กรมส่งเสริมการเกษตร ได้แนะนำพืชอายุสั้นที่ใช้น้ำน้อย ปลูกได้ในช่วงฤดูแล้ง ได้แก่ พริก แตงกวา ถั่วฝักยาว ผักคะน้า ผักกวางตุ้ง มะระจีน เห็ดฟาง ถั่วเขียว มันเทศ และข้าวโพดซึ่งจะสามารถสร้างรายได้ในช่วงแล้งให้แก่พี่น้องเกษตรกรได้ ทั้งนี้ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานเกษตรอำเภอ และศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร(ศพก.) ใกล้บ้านท่าน

234C522C-1A64-40FF-BCF8-255348ABD9B7

Short URL: http://www.samilatimes.co.th/?p=64696

แสดงความคิดเห็น

Share It

ความคิดเห็นล่าสุด

ข่าวมาใหม่

Find Us