เชฟรอน-จุฬาฯ วิจัยสำเร็จ ฝึกสุนัขดมกลิ่นผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ไม่แสดงอาการ แม่นยำ 94.8% สร้างต้นแบบการฝึกสุนัขดมกลิ่นเพื่องานทางการแพทย์ ครั้งแรกในประเทศไทย
บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด จับมือ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยประกาศความสำเร็จในการฝึกสุนัขดมกลิ่นคัดกรองผู้ติดเชื้อโควิด-19 ภายใต้โครงการวิจัย “การใช้สุนัขดมกลิ่นตรวจหาผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ที่ไม่แสดงอาการ(K9 Dogs Sniff COVID-19)” ซึ่งเป็นสุนัขพันธุ์ ลาบราดอร์ รีทรีฟเวอร์ (Labrador Retriever) จำนวน 6 ตัว โดยได้พัฒนาทักษะของสุนัขดมกลิ่นให้สามารถตรวจสอบและจำแนกผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ทั้งที่แสดงอาการและไม่แสดงอาการออกจากกลุ่มคนปกติ ได้ผลแม่นยำถึง 94.8% นับเป็นการสร้างต้นแบบการฝึกสุนัขดมกลิ่นเพื่องานทางการแพทย์ให้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย
โครงการวิจัย “การใช้สุนัขดมกลิ่นตรวจหาผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ที่ไม่แสดงอาการ” นี้ได้ดำเนินการมาตั้งแต่เดือนกันยายน 2563 นำโดย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประกอบด้วย นักวิจัยจากคณะสัตวแพทยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ และคณะวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นกลุ่มแรกที่ได้ดำเนินการค้นคว้าวิจัย ออกแบบการทดลอง และทดสอบความแม่นยำของสุนัข โดยได้รับทุนสนับสนุนจาก บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด เป็นจำนวนทั้งสิ้น 1,085,600 บาท โดยมี บริษัท พี คิว เอ แอสโซซิเอท จำกัด(PQA Associates Ltd.) เป็นผู้ดำเนินการภาคสนามด้านการเตรียมตัวและฝึกสุนัข ด้วยการสนับสนุนด้านการฝึกสุนัขจากกองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 43
ศาสตราจารย์ สัตวแพทย์หญิง ดร.เกวลี ฉัตรดรงค์ คณะสัตวแพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงวัตถุประสงค์และผลการวิจัยครั้งนี้ว่า “วัตถุประสงค์หลักของโครงการวิจัยนี้ คือ เราต้องการฝึกสุนัขดมกลิ่นตรวจหาผู้ติดเชื้อโควิด-19 แบบไม่แสดงอาการ เนื่องจากในการตรวจคัดกรองผู้เดินทางในพื้นที่สาธารณะและในสนามบินด้วยเครื่องตรวจวัดอุณหภูมิ มีข้อจำกัด คือ ไม่สามารถแยกผู้ป่วยที่ไม่มีอาการโดยเฉพาะอาการไข้ได้ จึงมีแนวคิดที่จะใช้ศักยภาพของจมูกสุนัข ซึ่งมีเซลล์ประสาทรับรู้กลิ่นมากกว่า 300 ล้านเซลล์ ซึ่งมากกว่ามนุษย์ถึง 50 เท่า สามารถระบุสารประกอบอินทรีย์ระเหยง่ายจากเหงื่อของผู้ป่วยที่มีลักษณะเฉพาะแตกต่างจากคนทั่วไปที่ไม่ได้ติดเชื้อ การใช้สุนัขดมกลิ่นจึงช่วยลดโอกาสในการเล็ดรอดของผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่ไม่แสดงอาการ จากการคัดกรองด้วยเครื่องวัดอุณหภูมิ โดยสามารถนำมาใช้ร่วมกับการตรวจวัดอุณหภูมิ ให้มีความแม่นยำในการคัดกรองสูงขึ้น”
“โดยในระยะแรกของการฝึกสุนัขนั้น จะให้สุนัขจดจำกลิ่นเหงื่อใต้รักแร้ที่ดูดซับโดยแท่งสำลี และกลิ่นเหงื่อจากถุงเท้าของผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 และคนปกติที่ได้รับการยืนยันผลตรวจด้วยวิธี RT-PCR แล้ว ซึ่งเรามีทีมแพทย์และสัตวแพทย์ดูแลด้านความปลอดภัยทางชีวภาพ ถึงแม้ว่าในเหงื่อจะไม่มีเชื้อไวรัส ทางคณะผู้วิจัยได้ทำการฆ่าเชื้อที่อาจปนเปื้อนมาในเหงื่อด้วยวิธีตามเกณฑ์มาตรฐานสากล”
“จากผลการทดสอบสุนัขทั้ง 6 ตัว ก่อนออกไปปฏิบัติงานจริง พบว่ามีความไวในการตรวจหาตัวอย่างบวก (Sensitivity) หรือ การดมกลิ่นตัวอย่างที่มีผลบวกได้ถูกต้องเฉลี่ย 97.6% และความจำเพาะในการดมกลิ่น (Specificity) หรือ การดมกลิ่นตัวอย่างที่มีผลลบได้ถูกต้องเฉลี่ย 82.2% ทำให้ได้ค่าความแม่นยำ (Accuracy) สูงถึง 94.8% ซึ่งใกล้เคียงกับผลการวิจัยในประเทศเยอรมัน ที่พบว่าสุนัขมีความแม่นยำ (Accuracy) ในการจำแนกผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 สูงถึง 94% นอกจากนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับชุดตรวจมาตรฐานโดยคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ยังพบว่าสุนัขของเรามีค่าความไวสูงกว่าค่ามาตรฐานที่กำหนด จึงถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่งสำหรับทีมงานทุกภาคส่วนที่มีส่วนร่วมผลักดันให้ความสำเร็จครั้งนี้เกิดขึ้น ถือเป็นทีมวิจัยกลุ่มแรกและสุนัขต้นแบบกลุ่มแรกของประเทศไทยที่สามารถปฏิบัติงานทางด้านการแพทย์ในการตรวจคัดกรองผู้ติดเชื้อโควิด-19 ซึ่งขณะนี้ ทางคณะกำลังเตรียมนำผลงานวิจัยตีพิมพ์เผยแพร่ ให้เกิดประโยชน์ต่อวงวิชาการทั่วโลก”
นอกจากนี้ ดร.เกวลี ฉัตรดรงค์ ยังได้กล่าวย้ำว่า ขั้นตอนการวิจัยครั้งนี้ได้ผ่านการรับรองโดยคณะกรรมการพิจารณาจริยธรรมการวิจัยในคน กระทรวงสาธารณสุข และคณะกรรมการกำกับดูแลการดำเนินการต่อสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ เพื่อยืนยันว่าการวิจัยครั้งนี้ไม่มีผลกระทบต่อสุขภาพและสวัสดิภาพของเจ้าหน้าที่และสุนัข โดยสุนัขได้รับการฝึกเพื่องานในโครงการนี้โดยเฉพาะ ทั้งนี้ ผลงานวิจัยสามารถนำไปต่อยอดการปฏิบัติงานได้จริง โดยเพิ่มเติมการออกแบบเพื่อใช้ในพื้นที่ปฏิบัติงานที่มีขนาดใหญ่ ด้าน นางสาวกิ่งกาน แก้วฝั้น ผู้จัดการโครงการ บริษัท พี คิว เอ แอสโซซิเอท จำกัด(PQA Associates Ltd.) ในฐานะผู้ดำเนินการภาคสนามด้านการเตรียมตัวและฝึกสุนัขกล่าวว่า “ทางบริษัท PQA ได้คัดเลือกสุนัขพันธุ์ลาบราดอร์ รีทรีฟเวอร์ (Labrador Retriever) จำนวน 6 ตัว ที่ยังไม่เคยผ่านการฝึกใดๆ เพื่อนำมาฝึกฝนในโครงการวิจัยนี้เนื่องจากสุนัขพันธุ์นี้มีลักษณะนิสัยที่เป็นมิตร เข้ากับคนง่าย อีกทั้งยังเป็นพันธุ์ที่มีโพรงจมูกยาว ทำให้มีประสาทการดมกลิ่นที่ดี สำหรับการฝึกนั้นจะใช้โมเดลเดียวกับการฝึกดมสารเสพติด โดยทางบริษัท PQA ได้รับการอนุเคราะห์และสนับสนุนครูฝึกจากกองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 43 ในการฝึกอบรมสุนัขร่วมกับครูฝึกของ PQA โดยโครงการฯ ได้ใช้ระยะเวลาในการฝึกฝนสุนัขรวม 6 เดือน ซึ่งระยะแรกจะเป็นการฝึกให้เชื่อฟังคำสั่งพื้นฐาน เพราะต้องให้สุนัขมีระเบียบวินัยก่อนเริ่มการฝึกดมกลิ่นผู้ติดเชื้อโควิด-19 จากนั้นจึงใช้เทคนิคเฉพาะซึ่งมีสองอย่าง คือ เทคนิคสลับตัวอย่างกลิ่นเหงื่อ และเทคนิคความแม่นยำในการจดจำกลิ่นเหงื่อของผู้ป่วย โดยนำแท่งสำลีซับเหงื่อของทั้งผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิด-19 และเหงื่อของคนปกติ ไปบรรจุในขวดแก้ว หลังจากนั้นจึงนำไปติดตั้งบนอุปกรณ์วงเวียนแบบ 6 ขาและแบบ 1 ขา เพื่อใช้ทดสอบสุนัขเมื่อสุนัขได้กลิ่นเหงื่อของผู้ป่วยโควิด-19 สุนัขจะนั่งลงทันที”
นายอาทิตย์ กริชพิพรรธ ผู้จัดการใหญ่ฝ่ายสนับสนุนธุรกิจ บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด ผู้สนับสนุนหลักของโครงการวิจัย กล่าวว่า “ในฐานะที่เชฟรอนดำเนินภารกิจจัดหาพลังงานให้กับประเทศ เรื่องของความปลอดภัยจึงเป็นสิ่งที่เราให้ความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้การจัดหาพลังงานเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งที่ผ่านมาเชฟรอนได้ให้การสนับสนุนการปฏิบัติงานของบุคลากรทางการแพทย์ และเจ้าหน้าที่ของภาครัฐ รวมถึงองค์กรต่างๆ กว่า 60 แห่ง ด้วยงบประมาณกว่า 13 ล้านบาท ในการรับมือกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกัน ก็ให้ความสำคัญกับการเสริมศักยภาพการรับมือกับวิกฤตการแพร่ระบาดของโรคที่ยังคงอยู่ในช่วงที่ต้องเฝ้าระวัง โดยโครงการวิจัย “การใช้สุนัขดมกลิ่นตรวจหาผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ที่ไม่แสดงอาการ” ก็เป็นอีกหนึ่งความมุ่งมั่นของเชฟรอน ซึ่งเรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่วันนี้โครงการฯ ประสบผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมและเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ด้วยความร่วมมือจากหน่วยงานทุกภาคส่วน”
“ภายหลังจากนี้ ทางบริษัทฯ จะดำเนินการในระยะที่สอง คือการนำสุนัขไปปฏิบัติงานจริงในภาคสนาม โดยทดสอบให้สุนัขดมกลิ่นเพื่อคัดกรองพนักงานของเชฟรอนที่จะเดินทางไปปฎิบัติงานนอกชายฝั่ง ณ จุดคัดกรองที่จังหวัดสงขลาต่อไป บริษัทฯ เชื่อมั่นว่าความสำเร็จของโครงการวิจัยนี้ จะช่วยให้เรามีเครื่องมือที่สำคัญในการรับมือโรคโควิด-19 เชิงรุก ที่ช่วยลดค่าใช้จ่ายและระยะเวลาในการตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการ รวมถึงช่วยลดอัตราเสี่ยงในการแพร่ระบาดไปยังบุคลากรทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้อง โดยสามารถนำมาใช้ร่วมกับการตรวจวัดอุณหภูมิ อันเป็นการเพิ่มศักยภาพในการคัดกรองผู้เดินทางเข้าประเทศไทย โดยเฉพาะ ณ จุดคัดกรองโรคในพื้นที่สาธารณะ และที่สำคัญ งานวิจัยนี้จะเป็นชุดความรู้ที่มีคุณค่า และเป็นต้นแบบการฝึกสุนัขดมกลิ่นเพื่องานทางการแพทย์ชุดแรกในประเทศไทย ที่หน่วยงานภาครัฐ และหน่วยงานอื่นๆ สามารถนำไปต่อยอดใช้งานเพื่อตรวจวิเคราะห์โรคต่างๆ ในมนุษย์ต่อไป”
อนึ่ง ในทางการแพทย์ ได้มีการใช้สุนัขดมกลิ่นเพื่อตรวจหาโรคมาแล้วหลายชนิด เช่นโรคมะเร็ง โรคเบาหวาน โรคมาลาเรีย โรคลมหลับ โรคไมเกรน อาการชัก รวมถึงโรคอื่นๆ ที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียและไวรัส สำหรับการใช้สุนัขดมกลิ่นในการตรวจหาผู้ป่วยโควิด-19 นั้นมีการใช้จริงภายในสนามบินต่างประเทศมาแล้วหลายแห่ง อาทิฟินแลนด์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และออสเตรเลีย
# # # #
สามารถดาวน์โหลดภาพและคลิปวีดีโอการฝึกสุนัขดมกลิ่นตรวจหาผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ที่ไม่แสดงอาการ
ความยาว 90 วินาที ได้ที่
https://drive.google.com/drive/folders/1PyxGrkz-sIpG-GRz6UGupwT3z5HQFKx3?usp=sharing
Short URL: http://www.samilatimes.co.th/?p=64245