กฎหมาย กับ ความงี่เง่าของนักปกครอง
“กฎหมายมีไว้สำหรับให้ความสงบสุขในบ้านเมือง มิใช่กฎหมายมีไว้สำหรับบังคับประชาชน ถ้ากฎหมายที่จะบังคับประชาชนก็กลายเป็นเผด็จการ กลายเป็นสิ่งที่บุคคลหมู่น้อยที่จะต้องบังคับกับบุคคลหมู่มาก ในทางตรงกันข้าม กฎหมายมีไว้สำหรับให้บุคคลส่วนมากมีเสรีและอยู่ได้ด้วยความสงบ”
(พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่คณะกรรมการจัดงานวันรพี ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน วันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๔๑)
กฎหมาย มีวิวัฒนาการมาตามความรู้และความคิดของมนุษย์ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันยาวนานมาแล้ว ความรู้ในกฎหมายเกิดจากความคิดเห็น การวิเคราะห์ วิจารณ์สิ่งที่ปรากฏอยู่หรือการแสวงหาสิ่งใหม่มาทดแทนสิ่งที่มีอยู่
ในทางปรัชญากฎหมายถือว่าการพัฒนาความคิดในทางกฎหมายมีความสำคัญอย่างยิ่งเพราะทำให้เกิดความเข้าใจในหลักกฎหมาย หลักการสำคัญทางกฎหมาย ประกอบด้วย หลักความยุติธรรมและหลักสิทธิเสรีภาพ
ปรัชญากฎหมายหรือนิติปรัชญาคือการวิเคราะห์ วิจารณ์หลักการพื้นฐานในทางกฎหมายโดยอาศัยวิธีการและประสบการณ์ทางรัฐศาสตร์ สังคมวิทยามานุษยวิทยาหรือเศรษฐศาสตร์ เป็นสาขาหนึ่งของปรัชญาประยุกต์
สำนักความคิดทางกฎหมายคือแนวคิดหลักหรือทฤษฎีทางกฎหมายของนักคิดทั้งหลายซึ่งมีความคิดเห็นตรงกัน แม้ว่าแต่ละคนหรือแต่ละแนวความคิดจะต่างยุคต่างสมัยกันก็ตาม
สำนักความคิดทางกฎหมายที่สำคัญ ได้แก่ สำนักความคิดทางกฎหมายธรรมชาติ กฎหมายฝ่ายบ้านเมือง กฎหมายฝ่ายคอมมิวนิสต์ กฎหมายฝ่ายสังคมวิทยา กฎหมายฝ่ายสัจจนิยมและกฎหมายฝ่ายประวัติศาสตร์
กฎหมายธรรมชาติ หมายถึงกฎหมายซึ่งเกิดจากธรรมชาติ มีอยู่แล้วในธรรมชาติและมีอำนาจบังคับตามธรรมชาติ เชื่อว่ากฎหมายตามธรรมชาติอยู่เหนือกฎหมายมนุษย์และใช้ได้ไม่จำกัดเวลาหรือสถานที่ สาระสำคัญของกฎหมายธรรมชาติอยู่ที่พิจารณาคุณค่าของการกระทำว่าสิ่งใดผิดสิ่งใดถูกตามคุณค่าทางจริยธรรม
กฎหมายฝ่ายบ้านเมือง คือกฎหมายที่ตราขึ้นบังคับใช้ในบ้านเมือง ต้องใช้ตามตัวบทกฎหมายอย่างเคร่งครัด จะต้องดูบทนิยามศัพท์ของกฎหมาย
กฎหมายฝ่ายคอมมิวนิสต์ มีความคิดโน้มเอียงไปทางกฎหมายบ้านเมือง มีความเห็นว่า กฎหมายคือปรากฏการณ์อันหนึ่งซึ่งเป็นผลสะเทือนจากการเมือง เองเกิลส์(Angels) นักคิดคนสำคัญในสำนักความคิดนี้กล่าวว่ากฎหมายจะมีความสำคัญอยู่ก็เพียงชั่วขณะหนึ่ง เพื่อจัดระเบียบและกลไกต่างๆในสังคมเท่านั้น เมื่อสังคมเคลื่อนเปลี่ยนจากระยะนายทุนเข้าสูระยะสังคมนิยม กฎหมายจะลดความสำคัญลงเกือบสิ้นเชิง ในที่สุดเมื่อเข้าสู่ระยะสัมบูรณ์อันเป็นปลายทางของระยะทั้งปวงและเป็นจุดจบของวิวัฒนาการทั้งหลาย กฎหมายก็จะสูญสลายไปสิ้น
มาร์กซ์และเองเกิลส์เรียกทฤษฎีนี้ว่า “ทฤษฎีว่าด้วยปลาสนาการของรัฐและกฎหมาย”
ปรัชญาของกฎหมายฝ่ายคอมมิวนิสต์คือความไม่เชื่อในกฎหมาย กล่าวคือไม่เชื่อในกฎแห่งธรรมชาติหรือสิ่งที่อยู่เหนือขอบเขตของกฎหมายฝ่ายบ้านเมือง
กฎหมายฝ่ายสังคมวิทยา เชื่อว่ากฎหมายคือระเบียบของสังคม(social norm) ซึ่งผันแปรไปตามยคของปรัชญา ออกุสต์คองต์ แบ่งเป็น ๓ ยุค คือ ๑) ยุคเทวนิยม กฎหมายไม่มีความสำคัญเท่าใดนัก เป็นเรื่องของสิ่งนอกเหนือธรรมชาติ ๒) ยุคอภิปรัชญา ปรัชญากฎหมายเริ่มก่อตั้งเป็นรูปเป็นร่างขึ้น ปรัชญาเมธีเริ่มแสดงทัศนะเกียวกับบทบาทของกฎหมายในสังคมมากขึ้น ๓) ยุคปฏิฐานนิยม กฎหมายเริ่มมีลักษณะในทางวิทยาศาสตร์มากขึ้น การจัดการ การตีความ ตลอดจนการใช้กฎหมายเริ่มตรงต่อสภาพความเป็นจริงในสังคมมากขึ้น
กฎหมายฝ่ายสัจจนิยม มี ๒ กลุ่มคือ ๑) กลุ่มอเมริกัน ๒) กลุ่มสแกนดิเนเวียน กลุ่มอเมริกันพยายามมองกฎหมายในแง่ที่เป็นจริง โดยเน้นให้เห็นความไม่แน่นอนของกฎหมาย ถือว่ากฎหมายคือสิ่งที่ศาลทำไม่ใช่สิ่งที่ศาลพูดจนกว่าศาลจะได้ตัดสิน ไม่มีใครบอกได้แน่นอนว่ากฎหมายเกี่ยวกับคดีนั้นมีอยู่อย่างไรแน่ ทนายความก็ได้แต่เพียงคาดคะเนว่าศาลจะตัดสินอย่างไร
กลุ่มสัจจนิยมสแกนดิเนเวียน ไม่เชื่อว่ากฎหมายมีอะไรเกี่ยวกับความยุติธรรมหรือความดี ความชั่ว เชื่อว่ากฎหมายมีฐานอยู่บนความเชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ศัพท์แสงทางกฎหมายทำให้เกิดมนต์ขลังผูกพันเราทางด้านจิตวิทยา กฎหมายมีความสมบูรณ์อยู่ในตัวของมันเอง ไม่เชื่อว่าประชาชนปฏิบัติตามกฎหมายเพราะกฎหมายมีโทษทัณฑ์สำหรับผู้ฝ่าฝืน เชื่อว่าประชาชนปฏิบัติตามกฎหมายก็เพราะสำนึกในจิตใจว่าตนมีความผูกพันจะต้องปฏิบัติตามความผูกพัน เป็นผลทางจิตวิทยา
ลองทบทวน ตรวจทานดูว่า ตลอดเวลาที่สังคมไทยมีกฎหมายบังคับใช้ นักปกครองในสังคมไทยได้ยึดตามหลักปรัชญาของสำนักความคิดไหนเป็นสำคัญ มันเพราะอะไร สมมุติฐานเบื้องต้นอาจจะมาจาก “สังคมไทยเป็นสังคมอำนาจนิยม ชนชั้นผู้ตรากฎหมายไม่ได้มาจากชนชั้นที่เป็นตัวแทนของคนส่วนใหญ่และที่สำคัญเจตนารมณ์ของการตรากฎหมายไม่ได้เพื่อความสงบสุขของสังคมแต่อยู่ที่การแสดงอำนาจและการแสวงหาผลประโยชน์จากกฎหมายและที่สำคัญที่สุดคือกฎหมายเมืองไทยเหมือนใยแมงมุมคือจับได้แต่สัตว์เล็กๆส่วนสัตว์ใหญ่ทำอะไรมันไม่ได้เลยแม้แต่น้อย เพราะมันเต็มไปด้วยข้อยกเว้น อำนาจบังคับใช้จึงตกแก่คนจน คนด้อยโอกาสเท่านั้น”
จรูญ หยูทอง-แสงอุทัย
Short URL: http://www.samilatimes.co.th/?p=15782