กรมส่งเสริมการเกษตร นำสื่อมวลชนดูงาน ครั้งที่ 2 “ผลสำเร็จการดำเนินการของกรมส่งเสริมการเกษตร”ในพื้นที่จังหวัดสงขลา และพัทลุง
กรมส่งเสริมการเกษตร นำสื่อมวลชนดูงาน ครั้งที่ 2 “ผลสำเร็จการดำเนินการของกรมส่งเสริมการเกษตร”ในพื้นที่จังหวัดสงขลา และพัทลุง ระหว่างวันที่ 5-6 สิงหาคม 2565 รวมทั้งสิ้น 4 พื้นที่ จุดที่1 ศูนย์จัดการดินปุ๋ยชุมชนท่าช้าง(ศดปช.) จุดที่2 เทศกาลผลไม้และของดีชายแดนใต้ จุดที่3 กลุ่มแปลงใหญ่กล้วยหอมทอง จุดที่4 จุดท่องเที่ยวเชิงเกษตรสวนสะละลุงถัน
วันที่ 5 สิงหาคม 2565 ที่ศูนย์จัดการดินปุ๋ยชุมชนท่าช้าง (ศดปช.) ตำบลท่าช้างอำเภอบางกล่ำ จังหวัดสงขลา นางอัญชลี สุวจิตตานนท์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตรพร้อมคณะ และสื่อมวลชนจากส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ลงพื้นที่ภาคใต้ภายใต้กิจกรรมนำสื่อมวลชนดูงาน ครั้งที่2 ในพื้นที่จังหวัดสงขลา และจังหวัดพัทลุงระหว่างวันที่ 5-6 สิงหาคม 2565 นางอัญชลี สุวจิตตานนท์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวว่า ศูนย์จัดการดินปุ๋ยชุมชนตำบลท่าช้าง หมู่ที่ 10 ตำบลท่าช้าง อำเภอบางกล่ำ จังหวัดสงขลาเป็นเครือข่ายสนับสนุนการทำงานของศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) ภายใต้การสนับสนุนของกรมส่งเสริมการเกษตรในด้านดินและปุ๋ยที่บริหารจัดการโดยเกษตรกร และเป็นแหล่งเรียนรู้ด้านดินและปุ๋ยของชุมชนและนักเรียนนักศึกษาสถาบันต่างๆ ส่งผลให้สมาชิกในชุมชนและบุคคลภายนอกหันมาใช้ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดิน เพื่อลดต้นทุนการผลิตเพิ่มมากขึ้น และถือเป็นกลุ่มที่มีความเข้มแข็งทำให้ได้รับรับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ศูนย์จัดการดินปุ๋ยชุมชน ระดับเขต เมื่อปี2564 ที่ผ่านมา ซึ่งในช่วงที่เกิดภาวะปุ๋ยมีราคาแพง ศูนย์จัดการดินปุ๋ยชุมชนตำบลท่าช้างแห่งนี้ก็สามารถผสมปุ๋ยสั่งตัด โดยใช้แม่ปุ๋ยสูตร 46-0-0, 18-46-0 และ 0-0-60 และนำมาผสมกับธาตุอาหารรอง เพื่อเป็นสารเติมเต็มให้แก่ผู้ที่สนใจสั่งซื้อ ทำให้ราคาปุ๋ยลดลงแต่พืชยังคงได้ธาตุอาหารเพียงพอ โดยได้รับการสนับสนุนเครื่องผสมแม่ปุ๋ยจากกรมส่งเสริมการเกษตร ช่วยเพิ่มปริมาณการผลิตให้ครอบคลุมสมาชิกมากขึ้นทำให้เกษตรกรสามารถลดต้นทุนค่าปุ๋ยได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังได้ผลิตปุ๋ยเคมี–อินทรีย์ และปุ๋ยอินทรีย์จากมูลสัตว์หมัก เพื่อเป็นทางเลือกให้เกษตรกรในการปรับปรุงบำรุงดิน และลดต้นทุนการผลิต โดยส่งเสริมให้เกษตรกรใช้ปุ๋ยอินทรีย์ร่วมกับปุ๋ยเคมีเพื่อลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกรอีกด้วย ด้านนายกฤตภาส สนิทมิสโร คณะกรรมการของศูนย์จัดการดินปุ๋ยชุมชนตำบลท่าช้าง กล่าวว่า ศูนย์จัดการดินปุ๋ยชุมชนตำบลท่าช้าง จัดตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2557 ตามนโยบายของกรมส่งเสริมการเกษตรให้ทุกอำเภอมีการจัดตั้งและดำเนินการศูนย์จัดการดินปุ๋ยชุมชน อำเภอละ 1 ศูนย์ ดำเนินการต่อเนื่องมาแล้ว 7 ปี ปัจจุบันมีสมาชิก34 ราย ซึ่งเป็นเกษตรกรผู้ปลูกยางพาราในพื้นที่รวม 241 ไร่ สามารถลดต้นทุนค่าปุ๋ยได้กว่า 90,037.60 บาท จากการใช้ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดินในสวนยางพารา นอกจากนี้ศูนย์จัดการดินปุ๋ยชุมชนตำบลท่าช้างยังช่วยจัดหาและบริการจำหน่ายปัจจัยการผลิตทำให้เกษตรกรที่เป็นสมาชิกสามารถซื้อปัจจัยการผลิตได้ในราคาที่ถูกกว่าท้องตลาดโดยเฉพาะแม่ปุ๋ยเคมี เกษตรกรได้ใช้ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดิน มีการผลิตและจำหน่ายปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพ จัดซื้อจัดหาแม่ปุ๋ยเคมี และจำหน่ายปุ๋ยสั่งตัด ซึ่งเป็นการเพิ่มปริมาณและคุณภาพผลผลิต ลดต้นทุนการผลิต และเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรและชุมชนอย่างยั่งยืน “ศูนย์จัดการดินปุ๋ยชุมชนตำบลท่าช้างยึดโมเดลการต่อยอดธุรกิจจากโครงการพัฒนาธุรกิจบริการดินและปุ๋ย (One stop Service) มีการถ่ายทอดความความรู้เรื่องการใช้ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดินให้กับเกษตรกรทั้งเกษตรกรในพื้นที่ และต่างพื้นที่ และจากการที่ได้รับการพัฒนาให้เป็น Young Smart Farmer และเข้ามาช่วยพัฒนาศูนย์ฯ ในเรื่องเทคโนโลยีการผลิตและการตลาด ทั้งตลาดทั่วไปและตลาดออนไลน์ ผ่านช่องทางออนไลน์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น Facebook ศูนย์จัดการดินปุ๋ยชุมชนท่าช้าง อ.บางกล่ำจ.สงขลา, กลุ่มไลน์ ศดปช. ระดับจังหวัดและ Line official ศดปช.ท่าช้าง รวมทั้งคิดค้นปรับปรุงสูตรปุ๋ยใหม่ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน ทั้งนี้ในอนาคตทางศูนย์ฯ มีแผนส่งเสริมให้เกษตรกรในชุมชนและชุมชนใกล้เคียง หันมาใช้ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดินเพิ่มมากขึ้น ควบคู่ไปกับการส่งเสริมการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ร่วมกับปุ๋ยเคมีเพื่อปรับปรุงบำรุงดิน และวางแผนการในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ปุ๋ยทางใบเพื่อจำหน่ายให้แก่เกษตรกรชาวสวนผลไม้ ให้ได้ใช้ปุ๋ยทางใบที่มีคุณภาพดีและราคาถูกกว่าท้องตลาด เพื่อเป็นการเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์และเพิ่มรายได้ให้กับทางศูนย์ฯ ต่อไปนอกจากนี้ทางกลุ่ม ศดปช.ไก้มีการสาธิตการวัดค่าของดิน การผสมปุ๋ยและการบรรจุกระสอบพร้อมจำหน่าย ช่วงบ่ายของวันเดียวกัน รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร พร้อมด้วยคณะ และสื่อมวลชน ได้เดินทางมายังศูนย์การค้าเซ็นทรัลเฟสติวัล หาดใหญ่ ตำบลหาดใหญ่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นจุดศึกษาดูงาน จุดที่2 งาน “เทศกาลผลไม้ และของดีชายแดนใต้” ภายใต้โครงการพัฒนาคุณภาพไม้ผลที่มีศักยภาพในกลุ่มจังหวัดภาคใต้ชายแดน ประจำปีงบประมาณ 2565 พร้อมการเข้าร่วมพิธีเปิดงาน และการเยี่ยมชมตลอดจนการชิมผลไม้อัตลักษณ์ภาคใต้ที่คัดสรรมาจำหน่ายในงาน
ต่อมาวันที่ 6 สิงหาคม 2565 คณะได้เดินทางไปศึกษาดูงานในพื้นที่จังหวัดพัทลุง ซึ่งเป็นจุดที่3 ที่แปลงใหญ่กล้วยหอมทองอำเภอบางแก้ว จังหวัดพัทลุง ยึดหลักตลาดนำการผลิต สู่การจัดการสมดุลสินค้าเกษตร สร้างเสถียรภาพด้านราคาแก่สมาชิกอย่างมั่นคง
กรมส่งเสริมการเกษตรได้ดำเนินการระบบส่งเสริมเกษตรแบบแปลงใหญ่มาตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 ซึ่งแปลงใหญ่กล้วยหอมทองอำเภอบางแก้ว ตำบลท่ามะเดื่ออำเภอบางแก้ว จังหวัดพัทลุง ถือเป็นอีกกลุ่มที่มีศักยภาพสามารถเป็นต้นแบบให้เกษตรกรในพื้นที่หันมาปลูกกล้วยหอมทองคุณภาพเพื่อจำหน่ายสร้างรายได้ มีการบริหารจัดการกลุ่มที่เข้มแข็งโดยยึดหลักตลาดนำการผลิต นำไปสู่การจัดการสินค้าเกษตรที่มีความสมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทาน สร้างเสถียรภาพของราคาสินค้าเกษตรได้อย่างมั่นคง โดยเกษตรกรยังคงเป็นเจ้าของพื้นที่และร่วมกันดำเนินการบริหารจัดการการผลิต มีการใช้กระบวนการแปลงใหญ่ในการส่งเสริมการผลิต 5 ด้าน ได้แก่ ด้านการลดต้นทุนการผลิต มีการขยายหน่อพันธุ์ไว้ในรุ่นถัดไป ใช้ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดิน ใช้ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก และน้ำหมักชีวภาพทดแทนการใช้ปุ๋ยเคมี การจัดทำบัญชีต้นทุนอาชีพ สามารถลดต้นทุนจากเดิม 35,500 บาท/ไร่ เหลือเพียง 28,400 บาท/ไร่ด้านการเพิ่มผลผลิต มีการเพิ่มพื้นที่ปลูกกล้วยหอมทองแซมในสวนยางพารา ทำให้ผลผลิตต่อไร่เพิ่มขึ้นจากเดิม 4,000 กิโลกรัม/ไร่ เป็น 4,800 กิโลกรัม/ไร่ ด้านการเพิ่มคุณภาพผลผลิต มีการจัดอบรมถ่ายทอดความรู้ให้แก่สมาชิก เพื่อพัฒนาคุณภาพสินค้าผลผลิตได้มาตรฐาน GAP ทุกแปลง สามารถผลิตกล้วย เกรด A ได้ร้อยละ 80 ด้านการตลาด มีการร่วมมือกับวิสาหกิจชุมชนกลุ่มเกษตรกรปลูกกล้วยหอมทองและไม้ผลปลอดภัยอำเภอบางแก้ว เพื่อรับซื้อผลผลิตไปจำหน่ายต่อโดยมีการประกันราคาแก่สมาชิก และมีตลาดซื้อขายล่วงหน้ากับห้างโมเดิร์นเทรด ทำให้กลุ่มแปลงใหญ่มีตลาดแน่นอน มีช่องทางจำหน่ายผลผลิตเพิ่ม ด้านการบริหารจัดการ มีคณะกรรมการกลุ่มที่เข้มแข็ง ส่งเสริมและขยายพื้นที่ปลูก ทำให้มีผลผลิตออกสู่ตลาดได้อย่างต่อเนื่องตลอดปี ด้านนายสมชัย หนูนวล ประธานกลุ่มแปลงใหญ่กล้วยหอมทองอำเภอบางแก้วกล่าวว่า ในพื้นที่อำเภอบางแก้วเกษตรกรส่วนใหญ่มีอาชีพทำสวนยางพารา ปาล์มน้ำมัน และนาข้าว ซึ่งที่ผ่านมาราคาผลผลิตไม่ดีเท่าที่ควร ประกอบกับพื้นที่อำเภอบางแก้วไม่เหมาะที่จะปลูกยางพารา และมีโครงการของการยางแห่งประเทศไทยสนับสนุนการโค่นยางไปปลูกพืชชนิดอื่นไร่ละ 10,000 บาท เกษตรกรจึงโค่นยางและปลูกพืชแบบผสมผสานโดยไม่มีความรู้เท่าที่ควร สำนักงานเกษตรอำเภอบางแก้วจึงได้เข้ามาให้คำแนะนำจัดอบรมหลักสูตรการปลูกกล้วยหอมทองเพื่อส่งตลาดโมเดิร์นเทรด ยกระดับคุณภาพมาตรฐานสินค้าเกษตรให้ความรู้แก่เกษตรกรตามหลัก GAP สนับสนุนองค์ความรู้ในด้านการพัฒนาผลผลิต การจัดการฟาร์ม การจัดการหลังเก็บเกี่ยว และสนับสนุนให้สมาชิกได้รับการรับรองมาตรฐาน GAP ทุกแปลง ทำให้มีเกษตรกรสนใจปรับเปลี่ยนมาปลูกกล้วยหอมทองเป็นจำนวนมาก จึงได้รวมกลุ่มกันจัดตั้งแปลงใหญ่กล้วยหอมทองอำเภอบางแก้วขึ้นในปี 2565 มีสมาชิกแรกเริ่ม จำนวน 30 ราย พื้นที่ 90 ไร่ ปัจจุบันมีสมาชิกเพิ่มขึ้น จำนวน 35 ราย พื้นที่ 135 ไร่ “จากการส่งเสริมการปลูกกล้วยหอมทองและมีผลตอบรับจากเกษตรกรในพื้นที่ทางกลุ่มจึงมีแนวคิด ส่งเสริมให้บางแก้วเป็นแหล่งปลูกกล้วยหอมทองที่มีคุณภาพและได้มาตรฐาน GAP ทุกแปลง เพื่อป้อนตลาดโมเดิร์นเทรดและขยายพื้นที่ปลูกเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันพื้นที่ปลูกของสมาชิกแปลงใหญ่กล้วยหอมทองอำเภอบางแก้ว จำนวน 130 ไร่ เพิ่มเป็น 250 ไร่ และขยายในพื้นที่ปลูกในกลุ่มวิสาหกิจชุมชนผู้ปลูกกล้วยหอมทองและไม้ผลปลอดภัยอำเภอบางแก้ว จาก 500 ไร่ เพิ่มเป็น 1,000 ไร่”
จากนั้นได้เดินทางไปยังจุดท่องเที่ยวเชิงเกษตรสวนสะละลุงถัน ตำบลหนองธงอำเภอป่าบอน จังหวัดพัทลุง ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรที่ประสบความสำเร็จในการบริหารจัดการจากรุ่นพ่อ (นายถัน ดำเรือง) – สู่รุ่นลูก (นายวิชัย ดำเรือง) ที่ได้รับการพัฒนาให้เป็น Young Smart Farmer ของกรมส่งเสริมการเกษตร โดยสวนสะละลุงถัน นอกจากจะพัฒนาต่อยอดจากสวนสละ เป็นแหล่งท่องท่องเที่ยวเชิงเกษตรสวนสะละลุงถัน บนพื้นที่ 50 ไร่ ภายใต้แนวคิด “ขายบริการควบคู่กับผลผลิตและผลิตภัณฑ์ที่ได้ในสวน” มีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมสวนหนึ่งพันกว่าคนต่อปี และมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการเปิดสวนเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรปีละ 2.3 ล้านบาทแล้ว ยังได้นำหลัก BCG Model มาต่อยอด พัฒนาการจัดการสวนสละจนได้มาตรฐาน GAP รวมทั้งนำผลผลิตสละที่เป็นลูกเดี่ยว และวัสดุเหลือใช้จากการทำสวนสละมาพัฒนาต่อยอดให้เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ ก่อให้เกิดรายได้งาม และสามารถจัดการให้ขยะในสวนเหลือทิ้งเป็นศูนย์ได้
Short URL: http://www.samilatimes.co.th/?p=73681