|

เน้น “ประชาชนรู้-สังคมเข้าใจ” รื้อถอนแท่นปิโตรเลียมกลางอ่าวไทย

received_10211457732023261

ประเทศไทยมีพื้นที่ทางทะเลกว่า 3.2 แสนตารางกิโลเมตร หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 60% ของพื้นที่บนบก และมีความยาวชายฝั่งกว่า 3 พันกิโลเมตร ทำให้เกิดกิจกรรมต่างๆ ขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการประมง การพาณิชย์นาวี และการท่องเที่ยว ซึ่งได้สร้างผลประโยชน์ต่อประเทศชาติอย่างมหาศาล รวมถึงกิจกรรมการขุดเจาะปิโตรเลียมในพื้นที่อ่าวไทย ได้ผลักดันประเทศไทยก้าวสู่ยุค “โชติช่วงชัชวาล” สามารถพึ่งพาพลังงานด้วยลำแข้งของตัวเอง

อย่างไรก็ตาม แหล่งขุดเจาะปิโตรเลียมในอ่าวไทยบางส่วนจะหมดอายุสัมปทาน 30 ปี จำเป็นจะต้องรื้อถอนแท่นและสิ่งติดตั้งเหล่านั้น เป็นความท้าทายใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นกับประเทศไทย ซึ่งจำเป็นจะต้องสร้างความรู้ ความเข้าใจให้กับประชาชน และร่วมกันแสวงหาทางออกที่เป็นประโยชน์ให้กับประเทศชาติมากที่สุด

received_10211457732823281

ศ.ดร.เผดิมศักดิ์ จารยะพันธุ์ ผู้ทรงคุณวุฒิ บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวในงาน “สรุปสถานการณ์ทะเลไทย 2560 : ผลประโยชน์แห่งชาติทางทะเลของ…(ใคร)..ไทย ?” จัดโดยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยว่า ในปี 2560 มีประเด็นที่ควรมีการแก้ปัญหาเร่งด่วน ทุกภาคส่วนให้ความสนใจ รวมถึงประเด็นที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ โดยได้สรุปสถานการณ์และข้อเสนอเพื่อเป็นแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาออกมา 4 เรื่องด้วยกัน ได้แก่ แนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาขยะทะเล 2.การบริหารจัดการปะการังเสื่อมโทรมในประเทศไทย 3.แนวทางการป้องกันและป้องกันปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง และ 4.ทางเลือกในการรื้อถอนสิ่งติดตั้งที่ใช้ในกิจการปิโตรเลียมทางทะเล ซึ่งในปี 2562-2565 จะเริ่มมีการรื้อถอนแท่นขุดเจาะปิโตรเลียม 80 แท่น จากทั้งหมด 452 แท่น หลังจากแหล่งผลิตปิโตรเลียมเหล่านี้หมดอายุสัมปทานลง

สำหรับประเด็นการรื้อถอนแท่นขุดเจาะปิโตรเลียม ตนอยากให้สังคมให้ความสนใจเพราะเป็นเรื่องที่กำลังเกิดขึ้น และผู้ที่มีส่วนร่วมโดยเฉพาะภาคประชาชนควรมีโอกาสได้รับรู้เรื่องต่างๆ เหล่านี้แบบไม่จำกัด ควรให้ความรู้ ความเข้าใจ ข้อมูล ข้อเท็จจริงต่างๆ ต้องเปิดเผยให้ประชาชนเข้าถึงได้

ขณะเดียวกันเรื่องการรื้อถอนแท่นขุดเจาะปิโตรเลียมไม่ใช่ความรับผิดชอบของภาคเอกชนที่รับสัมปทานเพียงฝ่ายเดียว แต่จะเป็นประเด็นที่ทุกคนจะต้องช่วยกันคิด ช่วยกันให้ความเห็น และช่วยกันทำความเข้าใจ เพื่อหาทางออกที่ดีที่สุด และทำให้เกิดประโยชน์ทุกฝ่ายอย่างยั่งยืนด้วย

ศ.ดร. เผดิมศักดิ์ กล่าวว่า ตนได้ตั้งประเด็นการรื้อถอนสิ่งติดตั้งที่ใช้ในกิจการปิโตรเลียมในทะเลเป็นประเด็นชวนคิด เนื่องจากยังไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทย  สังคมยังรู้เรื่องนี้น้อยมาก จึงต้องบอกกับประชาชนให้รับรู้ว่าจะมีการรื้อถอนแท่น หรือสิ่งก่อสร้างจากแหล่งปิโตรเลียมในอ่าวไทยเกิดขึ้น เพื่อแสวงหาทางออกร่วมกัน ปัจจุบันมีสิ่งติดตั้งที่จะต้องรื้อถอนทั้งหมด 452 แท่น แบ่งออกเป็นแท่นผลิต มากที่สุด 406 แท่น, แท่นที่พักอาศัย 11  แท่น, แท่นอื่นๆ เช่น แท่นเผาก๊าซ แท่นกำจัดปรอท แท่นอุปกรณ์เพิ่มความดัน 18 แท่น และเรือผลิต เรือกักเก็บ แท่นผลิตชั่วคราว 17 แท่น

ทั้งนี้ การรื้อถอนจะต้องดำเนินการตามกฎหมายที่ประกาศใช้  ได้แก่ พระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ.2514 มาตรา 80/1 ที่ระบุว่า ผู้รับสัมปทานมีหน้าที่รับผิดชอบในการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง วัสดุ อุปกรณ์ และสิ่งอำนวยความสะดวกในการสำรวจผลิต เก็บรักษาหรือขนส่ง ปิโตรเลียม

กฎกระทรวง กำหนดแบบสัมปทานปิโตรเลียม พ.ศ.2555 ข้อ 15 (4) ระบุว่า เมื่อสิ้นระยะเวลาผลิตปิโตรเลียม ผู้รับสัมปทานต้องส่งมอบสิ่งปลูกสร้าง วัสดุ อุปกรณ์ และสิ่งอำนวยความสะดวกให้แก่รัฐบาลไทยโดยไม่คิดมูลค่า ส่วนทรัพย์สินที่ใช้ประโยชน์มิได้ ผู้รับสัมปทานต้องรื้อถอนให้เป็นไปตามแผนงานที่ได้รับความเห็นชอบอย่างเคร่งครัด

กฎกระทรวง กำหนดแผนงาน ประมาณค่าใช้จ่าย และหลักประกันในการรื้อถอนสิ่งติดตั้งที่ใช้ในกิจการปิโตรเลียม พ.ศ.2559 ระบุเงื่อนไขในการรื้อถอนว่า สิ่งติดตั้งไม่ได้ใช้งานเกิน 1 ปี ปริมาณสำรองปิโตรเลียมน้อยกว่าร้อยละ 40 หรือ หมดอายุสัมปทาน หรือผู้รับสัมปทานแจ้งความประสงค์ในการรื้อถอน ซึ่งจำเป็นต้องได้รับความอนุญาตจากอธิบดีกรมเชื้อเพลิงก่อน ถึงจะเข้าเกณฑ์การรื้อถอนได้

สำหรับการดำเนินการรื้อถอนแท่นดังกล่าว มี 3 แนวทางด้วยกันคือ แนวทางที่ 1 รื้อถอนทั้งหมด โดยนำสิ่งติดตั้งทุกประเภทเหนือน้ำ และส่วนใต้น้ำทะเลขึ้นบนฝั่ง เพื่อข้าสู่ขบวนการทำลาย หรือนำกลับมาใช้ใหม่ ซึ่งการรื้อออกหมดจะเข้าสู่ขบวนการแปรรูป เกิดอุตสาหกรรมรื้อถอนและธุรกิจเกี่ยวเนื่องได้

แนวทางที่ 2 ไม่รื้อถอน เพื่อนำมาเป็นสถานีกลางทะเล เช่น สถานีวิจัย โรงแรมกลางทะเล สถานีสังเกตการณ์ สถานีจอดเรือรบ เป็นต้น

และแนวทางที่ 3 แท่นส่วนบนนำไปกำจัด แท่นส่วนล่างวางในทะเลเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตใต้น้ำ ซึ่งเป็นแนวทางที่เป็นไปได้ อาจจะมีสิ่งมีชีวิตเกาะติดแท่นจำนวนมาก ในหลักการตัวแท่นทำหน้าที่กึ่งๆ เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำ ถ้าใช้วิธีนี้แล้วมีบริหารจัดการแบบเดียวกันทั้ง 400 กว่าแท่นจะใช้พื้นที่ไม่เกิน 6 ตารางกิโลเมตร จากที่ประเทศไทยมีพื้นที่ทางทะเลทั้งหมดกว่า 3.2 แสนตารางกิโลเมตร

“วันนี้เริ่มจะมีสิ่งก่อสร้างเข้าสู่ขบวนการรื้อถอน ถ้าเราดูจะเห็นว่ามีเรือ ท่อ  และแท่น สำหรับตัวแท่นข้างบนเป็นส่วนที่ขนคัดแยกทำการรีไซเคิล ส่วนใต้น้ำมีระยะเวลาอยู่ในพื้นที่มาแล้ว 20-30 ปี จึงมีสิ่งมีชีวิตที่มีการเกาะติดอยู่จำนวนมาก เราจะมาดูว่าจะดำเนินการอย่างไร ผมมาชวนคิดว่า ถ้าเราจะมองประเด็นการจัดการแยกส่วนกว่า 400 แท่น ก็ต้องมาร่วมกันหาขบวนการที่เหมาะสม วันนี้โลกกำลังเปลี่ยนแปลงไป มนุษย์ได้ทำสิ่งเหลือใช้มากมาย จึงต้องมาหาทางออกในการกำจัดสิ่งของเหลือใช้เหล่านั้นให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศ”

ขณะที่ ผศ. ดร.ธรณ์  ธำรงนาวาสวัสดิ์ รองคณบดีฝ่ายกิจการพิเศษและประชาสัมพันธ์ คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า การรื้อถอนแท่นขุดเจาะบริษัทต้องส่งแผนการรื้อถอนให้พิจารณาก่อนอย่างน้อย 3-5 ปี โดยแท่นส่วนบนจะนำไปกำจัดที่บริเวณท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งมีหน่วยงานราชการที่กำกับดูแลด้านสิ่งแวดล้อม เช่น สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) กรมควบคุมมลพิษ ติดตามอย่างใกล้ชิด ซึ่งในขั้นตอนทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นการล้างทำความสะอาด และการนำวัสดุบางส่วนกลับไปใช้ใหม่ทำอย่างไร ต้องสิ้นสุดที่ท่าเรือแหลมฉบังทั้งหมด

ด้านนายมงคล สุขเจริญคณา นายกสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย ผู้เข้าร่วมฟังสรุปสถานการณ์ทะเลไทย ครั้งนี้ กล่าวว่า แนวทางการรื้อถอนแท่นขุดเจาะปิโตรเลียมนั้น ตนเห็นว่า ไม่ควรรื้อแท่นด้านล่างใต้ทะเลออกไป เพราะสามารถใช้ประโยชน์จากการทำปะการังเทียม และเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์สิ่งมีชีวิตใต้ท้องทะเลได้ ที่สำคัญไม่ได้เป็นการกีดขวางการทำประมงแต่อย่างใด

ที่มา : นสพ.สยามธุรกิจ ฉบับวันที่ 17 – 23 กุมภาพันธ์ 2561

Short URL: http://www.samilatimes.co.th/?p=26947

แสดงความคิดเห็น

Share It

ความคิดเห็นล่าสุด

ข่าวมาใหม่

Find Us