สงขลารับคนไทยที่เดินทางกลับซาอุฯ พร้อมเฝ้าระวังความเสี่ยงโควิด – 19
จังหวัดสงขลา รับคนไทยที่เดินทางกลับจากประเทศซาอุดิอาระเบีย 39 ราย เข้าสู่กระบวนการคัดกรอง และแยกสถานที่กักตัว เพื่อเฝ้าระวังผู้มีความเสี่ยงโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19
จากกรณีที่คนไทยในประเทศซาอุดิอาระเบียได้แจ้งความประสงค์เดินทางกลับสู่ประเทศไทย ผ่านทางประเทศมาเลเซีย เข้าสู่ด่านพรมแดนปาดังเบซาร์ อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา โดยวันนี้ (25 พ.ค. 63) ทางสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงริยาด ได้ส่งคนไทยในประเทศซาอุดิอาระเบียเดินทางกลับเข้ามา จำนวน 39 ราย จากที่แจ้งความประสงค์ไว้จำนวนทั้งหมด 45 ราย (เนื่องจากนักศึกษาไทย6 ราย มีผลตรวจ COVID-19 เป็น positive ทางการซาอุดิอาระเบียจึงต้องกักตัวไว้ก่อน ไม่สามารถส่งกลับประเทศไทยได้)
โดยในจำนวน 39 รายนี้ เป็นเด็ก 1 ราย อายุ 14 เดือน และมารดาของเด็ก และเป็นนักศึกษาชาวไทย–มุสลิม ที่ได้รับทุนจากรัฐบาลซาอุดิอาระเบีย 37 ราย เป็นเพศชายทั้งหมด มีภูมิลำเนาอยู่ในจังหวัดสงขลา 3 ราย สตูล 3 ราย ปัตตานี 12 ราย นราธิวาส 6 รายยะลา 4 ราย นครศรีธรรมราช 2 ราย พัทลุง 1 ราย เชียงใหม่ 1 ราย พังงา 1 ราย ตราด 1 ราย กรุงเทพมหานคร 4 ราย และนนทบุรี 1 ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ทำการคัดกรองอย่างเข้มงวดและแยกตัวออกมาจากกลุ่มผู้เดินทาง พร้อมทั้งทำการส่งตรวจการเพาะเชื้อทุกรายเนื่องจากประเทศซาอุดิอะราเบียเป็นประเทศกลุ่มเสี่ยงที่มีผู้ติดเชื้อในเกณฑ์สูง
ซึ่งทางทีมแพทย์ และเจ้าหน้าที่สำนักงานสาธาณสุขจังหวัด ได้ทำการตรวจสอบตามกระบวนการคัดกรองโรคอย่างเข้มงวด ก่อนจะแยกส่งกลับไปกักตัวดูอาการเป็นเวลา 14 วัน โดยได้แบ่งกลุ่มผู้ที่เดินทางกลับจากประเทศซาอุดิอาระเบีย เป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกเป็นชาวจังหวัดสงขลาและกลุ่มผู้ที่มีภูมิลำเนาในจังหวัดอื่นๆ นอกเหนือจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งจังหวัดสงขลาจะรับดูแลทั้งหมดส่วนผู้ที่อยู่ในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส และสตูล ได้ประสานให้มีรถมารับกลับภูมิลำเนา
สำหรับผลการคัดกรองวันนี้ ตรวจพบว่ามีผู้เข้าเกณฑ์สอบสวน (PUI) จำนวน 3 ราย ซึ่งได้เข้ารับการกักกันตัวและรับรักษาตัวในโรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ณ อำเภอนาทวี จังหวัดสงขลาเพื่อที่จะรอผลเพาะเชื้อ และหากผลเป็นลบก็จะนำตัวส่งไปยังศูนย์กักกันที่โรงแรมเอ็มโซโฮ อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา
ศิริลักษณ์ แคล้วคลาด / ข่าว / ภาพ
สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดสงขลา
25 พ.ค. 63
Short URL: http://www.samilatimes.co.th/?p=55776