กกพ. สัญจรใต้ พบสื่อฯ ร่วมประชุมเครือข่ายสื่อมวลชนไทยใส่ใจทางเลือกใหม่พลังงานไฟฟ้า ครั้งที่ 2
เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม ที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้จัดประชุมเครือข่ายสื่อมวลชนไทยใส่ใจทางเลือกใหม่พลังงานไฟฟ้า ครั้งที่ 2 โครงการสร้างเครือข่ายสื่อมวลชนไทยใส่ใจทางเลือกใหม่พลังงานไฟฟ้า โดยมีนางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย CEO บริษัท ดิ เอ็กซ์ โซลูชั่นส์จำกัด ในฐานะผู้บริหารโครงการฯ จัดประชุมและกล่าวเปิดงาน นายมนูญ ศิริวรรณ นักวิชาการอิสระและประธานเครือข่ายสื่อมวลชนไทยใส่ใจทางเลือกใหม่หลังงานไฟฟ้า และ ดร.ทวีศักดิ์ รักยิ่ง นักวิชาการอิสระและผู้เชี่ยวชาญด้านการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน ร่วมประชุม พร้อมด้วยสื่อมวลชนทั้งสื่อโทรทัศน์ สื่อวิทยุ สื่อสิ่งพิมพ์และสื่อออนไลน์ ของภาคใต้ จาก จ.สงขลา ยะลา นราธิวาส และสตูลเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก ณ ห้องประกายทอง ชั้น 3 โรงแรมไดมอนด์พลาซ่า อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา
สำหรับโครงการสร้างเครือข่ายสื่อมวลชนไทยใส่ใจทางเลือกใหม่พลังงานไฟฟ้า เป็นหนึ่งในโครงการที่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนพัฒนาไฟฟ้าเพื่อกิจการตามมาตรา 97(5) ประจำปีงบประมาณ 2562 โดยเน้นดำเนินกิจกรรมสัมภาษณ์ เชิงลึกสื่อมวลชน (Focus Group) ในทุกภูมิภาคของไทย ร่วมกลุ่มตัวแทนสื่อมวลชนทั่วประเทศ เพื่อเป็นต้นแบบนำการเปลี่ยนแปลงในการรณรงค์และสร้างความเข้าใจด้านพลังงานที่ถูกต้องสู่สาธารณะให้ดียิ่งขึ้น
โดย นายมนูญ ศิริวรรณ ได้บรรยายสถานการณ์ภาพรวมพลังงานในต่างประเทศและไทย แผนการพัฒนา และ ส่งเสริมพลังงานทางเลือกจากแสงอาทิตย์และเชื้อเพลิงขยะ โดยกล่าวในที่ประชุมพอสรุปได้ว่า สืบเนื่องวิกฤตราคาน้ำมันจากสถานการณ์ Covid-19 ที่อุบัติขึ้นใหม่ๆ ทำให้กลุ่ม OPEC+ ตกลงกันไม่ได้ เรื่องข้อเสนอลดการผลิตลงอีก 1.5 ล้านบาร์เรล/วัน ไปจนถึงทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างซาอุดิอาระเบียกับรัสเซีย ซาอุดิอาระเบียจึงประกาศเพิ่มการผลิตและตัดราคาน้ำมันเพื่อชิงส่วนแบ่งตลาดเพิ่มการผลิตจาก 9.0 เป็น 12.3 ล้านบาร์เรล/วัน ทำให้น้ำมันล้นตลาด 4 ล้านบาร์เรล/วัน ประกอบกับสถานการณ์แพร่ระบาดของ covID-19 – ความต้องการน้ำมันลดลง 8-10 ล้านบาร์เรล/วัน จนทำให้มีน้ำมันเกินความต้องการมากถึง 7 ล้านบาร์เรล/วัน ในไตรมาสสองนี้ จนกดดันราคาน้ำมันให้ลดลงถึง 55% = 35-40 ล้านบาร์เรล/วัน ภายในสองสัปดาห์ถัดมา จากเมื่อก่อนจะอยู่ที่ระดับ 60-65 ล้านบาร์เรล/วัน สู่ระดับ 20-30 ล้านบาร์เรล/วัน และลดลงจนติดลบถึง 35 ล้านบาร์เรล/วัน ภายใน 1 วัน ซึ่งแนวโน้มในอนาคตราคาน่าจะอยู่ในระดับ 40-45 ล้านบาร์เรล/วัน ไปอีกอย่างน้อยจนถึงสิ้นปีนี้ ด้วยเหตุนี้จึงจะมีการเจรจาระหว่างกลุ่มโอเปกและรัสเซีย (OPEC+) ในเดือนก.ย.นี้เพื่อหาข้อตกลงร่วมกันให้ลดการผลิตต่อไปจนถึงสิ้นปี ราคาอาจขยับขึ้นมาที่ 45-50 ล้านบาร์เรล/วัน ซึ่งถ้าสถานการณ์ Covid-19 คลี่คลายในช่วงปลายปี ราคาอาจขึ้นมาได้ถึง 60 ล้านบาร์เรล/วัน และถ้ากลุ่มผู้ผลิต Shale Onในสหรัฐฯลดการลงทุน/ลดการผลิตราคาน่าจะอยู่ในช่วง 60-70 ล้านบาร์เรล/วันเช่นกัน
นายมนูญ ศิริวรรณ กล่าวต่อว่า “สำหรับวิกฤตโควิด/ราคาน้ำมันกับผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย มีผลกระทบทั้งข้อดี คือประเทศประหยัดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานลง 25-30% บนสมมติฐานที่ราคาน้ำมันดิบดูไบ 30-40 ล้านบาร์เรล/วัน ประมาณ 250,000 ล้านบาท/ปี ทำให้ดุลการค้าดุลการชำระเงินดีขึ้น ประชาชนมีเงินเหลือจากราคาน้ำมันที่ลดลง จึงมาใช้จ่ายกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้น ต้นทุนของผู้ประกอบการทั่วไปลดลง ค่าไฟฟ้าค่าก๊าซถูกลง (อีกหกเดือน) และ อัตราเงินเฟ้อต่ำ แต่พบว่ากลับทำให้เศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากมาตรการ Lockdowns GDP/02 -12.2% จากปีที่แล้ว จนทำให้คนไทยว่างงานกว่า 2 ล้านคน รายได้รัฐบาลจากภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีสรรพสามิตของน้ำมันลดลง ซึ่งต่อให้ราคาน้ำมันที่ลดลงมากๆ เป็นระยะเวลานานๆ อาจทำให้เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอย การส่งออกของไทยจะถูกกระทบมากขึ้น โดยเฉพาะการส่งออกไปยังประเทศที่เป็นผู้ผลิตน้ำมัน ผู้ประกอบการธุรกิจน้ำมันตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำได้รับผลกระทบทั้งการขาดทุนสินค้าคงคลัง และส่วนต่างกำไรที่ลดลงในที่สุด”
มาพูดถึงอนาคตพลังงานหมุนเวียนแล้ว นายมนูญ ศิริวรรณ อธิบายสรุปได้ดังนี้ว่า “ไม่ว่าจะเป็นพลังงานลม ที่มีข้อดี คือ ไม่มีค่าเชื้อเพลิง ติดตั้งง่าย รวดเร็วเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ไม่มีมลพิษ ส่วนข้อจำกัดผลิตไฟฟ้าได้บางเวลา เฉพาะตอนมีลม ค่าลงทุนสูง ใช้พื้นที่มากและพื้นที่ที่มีลม แรงส่วนใหญ่อยู่ในเขตอนุรักษ์ พลังงานแสงอาทิตย์ ข้อดี คือไม่มีค่าเชื้อเพลิง ระบบไม่ซับซ้อน ข้อจำกัด คือ ผลิตไฟฟ้าได้เฉพาะตอนที่มีแดด ต้นทุนสูง ถ้าใช้แบตเตอรี่เก็บไฟฟ้า ใช้พื้นที่มาก ไม่สร้างมลภาวะ โรงไฟฟ้าชีวมวล สัญญาพึ่งพาได้ (Firm Contract) “แต่แม้จะผสมถ่านหินแล้ว ก็ยังพึ่งพาไม่ได้” ส่วนพลังงานนิวเคลียร์ ข้อดีคือต้นทุนค่าไฟต่อหน่วยถูกที่สุด มีปริมาณเชื้อเพลิงมาก ไม่ก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจก แต่ข้อจำกัด ก็จะมีระยะเวลาก่อสร้างนานมาก 10-12 ปี ประชาชนยังกังวลเรื่องความปลอดภัย ค่าลงทุนสูง”
“ประเด็นพลังงานวันนี้ ประเด็นที่ 1 มีการพัฒนาพลังงานหมุนเวียนอย่างก้าว กระโดด ทดแทนเชื้อเพลิงฟอสซิลและ นิวเคลียร์ ต้นทุนพลังงานหมุนเวียนลดลงมากในขณะที่ประสิทธิภาพสูงขึ้น โดยเฉพาะลมและแสงอาทิตย์และในหลายประเทศเริ่มสามารถ “แข่งขันกับเชื้อเพลิงฟอสซิลได้แล้ว ประเด็นพลังงานวันนี้ ประเด็นที่ 2พลังงานหมุนเวียนที่ราคาถูก + แบตเตอรี่ที่ราคากำลังลดลงอย่างรวดเร็ว จะทำให้ รถไฟฟ้าทดแทนรถที่ใช้น้ำมันในที่สุด แผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก พ.ศ.2561-2580 (AEDP 2018) เพื่อสนับสนุนนโยบาย Energy for all โรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก) ปรับแผนโครงการเดิมที่ไม่เป็นไปตามแผน เช่น โครงการโซล่าร์ประชาชน ปรับแผน AEDP ให้เป็นไปตามทิศทางการใช้พลังงานในอนาคต การใช้น้ำมันลดลงเพราะรถยนต์ไฟฟ้า และรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแล้วเสร็จ รักษาระดับเป้าหมาย “สัดส่วนการใช้พลังงานทดแทน” ในปี 2580 ไว้ที่ไม่น้อยกว่าร้อยละ 30 ปรับเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนในภาคการผลิตไฟฟ้า และความร้อน ปรับลดสัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงชีวภาพลง ตามทิศทางการใช้พลังงานใน ซึ่งในอนาคตความท้าทายด้านพลังงานของไทยการพึ่งพาตนเองด้านพลังงาน โดยคาดว่าพลังงานในประเทศลดลงต้องนำเข้ามากขึ้น ลดการพึ่งพาพลังงานฟอสซิล/การนำเข้าไฟฟ้าจาก ประเทศเพื่อนบ้าน รักษาสมดุลระหว่างพลังงานฟอสซิล/พลังงานหมุนเวียน” นายมนูญ ศิริวรรณกล่าวสรุปส่งท้ายในการบรรยาย
และก่อนจะสิ้นสุดการประชุม ในที่ประชุมยังได้มีการพูดคุยแลกเปลี่ยน แนวทางการดำเนินงานของเครือข่ายฯ ดร.ทวีศักดิ์ รักยิ่ง นักวิชาการอิสระ ผู้เชี่ยวชาญด้านการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน และนางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดิ เอ็กซ์ โซลูชั่นส์ จำกัด ในฐานะผู้บริหารโครงการ คอยแนะนำและรับฟังความคิดเห็นจากสื่อมวลชนทั้งสื่อโทรทัศน์ สื่อวิทยุ สื่อสิ่งพิมพ์และสื่อออนไลน์ ของภาคใต้ จาก จ.สงขลา ยะลา นราธิวาส และสตูล ที่ต่างนำเสนอแนะนำ และข้อสงสัยต่างๆ เพื่อนำไปประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป
Short URL: http://www.samilatimes.co.th/?p=58740